
ติดตั้ง Firewall
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกขนาดต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ภัยคุกคามทางไซเบอร์ต่างๆ เช่น ไวรัส แรนซัมแวร์ และการโจมตีจากแฮกเกอร์ กำลังเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อข้อมูลสำคัญของธุรกิจ หากข้อมูลเหล่านี้หลุดรั่วไป อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของธุรกิจได้อย่างมาก
ระบบ Firewall เปรียบเสมือนกำแพงป้องกันที่คอยสกัดกั้นการเข้าถึงระบบเครือข่ายจากภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาต ทำหน้าที่ตรวจสอบและกรองทราฟฟิกขาเข้าและขาออกทั้งหมด ช่วยป้องกันการโจมตีจากไวรัส มัลแวร์ และแฮกเกอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องการติดตั้งระบบ Firewall กับเราประเมินหน้างานและให้คำปรึกษาฟรี ติดต่อได้ที่ Line @Nicesystem โทร 02-078-697-9, 096-246-232-4
สารบัญ
1.ประเภทของ Firewall
2.เหตุผลที่ต้องติดตั้ง Firewall
3.ขั้นตอนการติดตั้ง Firewall
4.การดูแลรักษา Firewall

ประเภทของ Firewall
การเลือก Firewall ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณเป็นขั้นตอนสำคัญในการเสริมความปลอดภัยทางเครือข่าย แต่เนื่องจาก Firewall มีหลายประเภทและหลายรูปแบบ การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้อง
1. Packet-Filtering Firewall
Packet-Filtering Firewall เป็น Firewall รุ่นพื้นฐานที่ทำงานโดยการตรวจสอบแพ็กเก็ตข้อมูล (Packets) ที่เข้ามาหรือออกจากเครือข่าย ตามกฎที่ตั้งไว้ เช่น การกรองตามหมายเลข IP, หมายเลขพอร์ต หรือโปรโตคอล หากแพ็กเก็ตนั้นไม่ตรงกับกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ระบบจะปฏิเสธหรือปิดกั้นการเข้าถึงทันที
ข้อดี:
- ใช้งานง่ายและบริหารจัดการได้ไม่ซับซ้อน
- ประหยัดทรัพยากรเนื่องจากไม่ใช้พลังงานในการตรวจสอบมาก
ข้อเสีย: - ป้องกันการโจมตีได้อย่างจำกัด เพราะสามารถตรวจสอบได้เฉพาะข้อมูลพื้นฐานในแพ็กเก็ตเท่านั้น
- ไม่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาภายในแพ็กเก็ตได้ จึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่ซับซ้อนได้
2. Stateful Inspection Firewall
Stateful Inspection Firewall เป็น Firewall ที่มีความสามารถมากขึ้นในการติดตามสถานะของการเชื่อมต่อทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเครือข่าย เช่น เมื่อเริ่มต้นการเชื่อมต่อ ข้อมูลที่ผ่านเข้ามาจะถูกบันทึกเป็นสถานะ (State) และจะอนุญาตหรือปิดกั้นการเชื่อมต่อใหม่ตามสถานะนี้
ข้อดี:
- ตรวจสอบการเชื่อมต่อได้อย่างละเอียดกว่า Packet-Filtering Firewall
- สามารถป้องกันการโจมตีที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น
ข้อเสีย: - ต้องใช้ทรัพยากรในการตรวจสอบและเก็บบันทึกสถานะการเชื่อมต่อมากขึ้น ทำให้ช้ากว่า Packet-Filtering Firewall
3. Proxy Firewall (Application-Level Gateway)
Proxy Firewall หรือที่เรียกกันว่า Application-Level Gateway จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง (Proxy) ระหว่างผู้ใช้และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้การเชื่อมต่อของผู้ใช้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกต้องผ่าน Proxy Firewall ก่อน ระบบนี้จะตรวจสอบข้อมูลในระดับแอปพลิเคชัน เช่น HTTP, FTP หรือ DNS
ข้อดี:
- สามารถตรวจสอบและควบคุมข้อมูลที่ละเอียดกว่า เช่น เนื้อหาและรูปแบบของคำขอที่ผ่านเข้ามา
- ป้องกันการโจมตีที่ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในระดับแอปพลิเคชันได้
ข้อเสีย: - ประมวลผลช้ากว่า Firewall แบบอื่น เพราะต้องตรวจสอบเนื้อหาภายในแพ็กเก็ตอย่างละเอียด
- ต้องใช้ทรัพยากรมากกว่า และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครือข่าย
4. Next-Generation Firewall (NGFW)
Next-Generation Firewall (NGFW) เป็น Firewall รุ่นใหม่ที่รวมความสามารถของ Firewall แบบเก่า เช่น Packet Filtering และ Stateful Inspection ไว้ด้วยกัน พร้อมกับความสามารถในการตรวจสอบและป้องกันการโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การโจมตีแบบ Zero-Day หรือ Advanced Persistent Threat (APT)
ข้อดี:
- ความสามารถในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามได้หลากหลาย เช่น การกรองข้อมูลตามแอปพลิเคชัน การตรวจจับมัลแวร์ และการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เครือข่าย
- มีฟังก์ชันการทำงานที่สามารถรวมกับระบบอื่น ๆ ได้ เช่น ระบบตรวจจับการบุกรุก (Intrusion Detection System – IDS) และการป้องกันการบุกรุก (Intrusion Prevention System – IPS)
ข้อเสีย: - ต้องการทรัพยากรสูงและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าระบบ Firewall แบบอื่น ๆ
- อาจต้องการความเชี่ยวชาญในการตั้งค่าและการดูแลรักษา
5. Cloud-Based Firewall (Firewall as a Service – FWaaS)
Cloud-Based Firewall หรือ Firewall as a Service (FWaaS) เป็นการใช้บริการ Firewall ผ่านระบบคลาวด์ โดยไม่ต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ในเครื่องผู้ใช้เอง Firewall ประเภทนี้สามารถตรวจสอบและกรองข้อมูลที่เข้ามายังระบบคลาวด์หรือทรัพยากรในเครือข่ายได้
ข้อดี:
- ไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมและสามารถปรับขยายระบบได้ตามต้องการ
- มีการอัปเดตและปรับปรุงความปลอดภัยจากผู้ให้บริการคลาวด์อย่างต่อเนื่อง
ข้อเสีย: - ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างมาก และอาจมีความล่าช้าหากการเชื่อมต่อไม่เสถียร
- ต้องไว้วางใจในความปลอดภัยและความสามารถของผู้ให้บริการคลาวด์ในการปกป้องข้อมูล
6. Unified Threat Management (UTM)
Unified Threat Management (UTM) เป็น Firewall ที่รวมความสามารถในการรักษาความปลอดภัยหลายประเภทไว้ในหนึ่งเดียว เช่น การกรองไวรัส, การตรวจจับการบุกรุก, VPN และการกรองเว็บ เป็นต้น
ข้อดี:
- เป็นโซลูชันแบบครบวงจรที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยหลายประเภทได้ในอุปกรณ์เดียว
- เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการการป้องกันในหลายระดับ
ข้อเสีย: - ประสิทธิภาพอาจต่ำกว่าการใช้เครื่องมือแยกเฉพาะตามหน้าที่ เช่น Firewall และระบบป้องกันไวรัสแบบแยกจากกัน
- การบริหารจัดการที่ซับซ้อนขึ้นเมื่อเปิดใช้หลายฟังก์ชันพร้อมกัน

เหตุผลที่ต้องติดตั้ง Firewall
Firewall เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับการรักษาความปลอดภัยเครือข่ายในธุรกิจและองค์กรขนาดต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลและการเชื่อมต่อทางดิจิทัลมีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ การติดตั้ง Firewall จะช่วยป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือเหตุผลที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญในการติดตั้ง Firewall
1. ป้องกันการโจมตีจากภายนอก
การโจมตีทางไซเบอร์ เช่น การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service) หรือ Brute Force Attack สามารถทำให้ระบบเครือข่ายของธุรกิจล่มหรือถูกขโมยข้อมูลที่สำคัญได้ Firewall ทำหน้าที่เป็น “ด่านแรก” ที่ตรวจสอบและป้องกันการเชื่อมต่อที่ไม่พึงประสงค์จากภายนอกเครือข่าย และช่วยลดโอกาสที่ผู้โจมตีจะสามารถเจาะเข้ามาภายในเครือข่ายได้
ตัวอย่างการโจมตีจากภายนอกที่ Firewall ช่วยป้องกันได้
- การสแกนพอร์ต (Port Scanning): แฮกเกอร์ใช้การสแกนพอร์ตเพื่อหาช่องโหว่ในเครือข่าย แต่ Firewall สามารถปิดกั้นการเชื่อมต่อที่น่าสงสัยนี้ได้
- Malware และ Ransomware: Firewall ตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ช่วยลดโอกาสที่มัลแวร์จะแพร่เข้าสู่เครือข่าย
2. ควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายภายใน
การควบคุมการเข้าถึงของผู้ใช้งานภายในเครือข่ายถือเป็นอีกหน้าที่หลักของ Firewall คุณสามารถตั้งกฎการใช้งานและควบคุมการเชื่อมต่อจากผู้ใช้งานหรืออุปกรณ์ภายในได้ เช่น การอนุญาตหรือจำกัดการเข้าถึงแหล่งข้อมูลบางส่วนหรือเซิร์ฟเวอร์ภายใน
การควบคุมการเข้าถึงยังช่วยลดความเสี่ยงในการที่ข้อมูลสำคัญจะถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การป้องกันไม่ให้พนักงานทั่วไปเข้าถึงข้อมูลลับขององค์กร
3. ป้องกันข้อมูลสูญหายหรือรั่วไหล
ข้อมูลถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของธุรกิจ การป้องกันข้อมูลจากการถูกโจมตีหรือรั่วไหลสู่ภายนอกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง Firewall ช่วยป้องกันการส่งข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาตออกนอกเครือข่าย เช่น การป้องกันไม่ให้ข้อมูลสำคัญถูกส่งออกไปยังเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือหรือเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์
การสูญหายของข้อมูล ไม่ได้มาจากภัยคุกคามภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจากการรั่วไหลภายในองค์กรด้วย ดังนั้น Firewall ยังสามารถป้องกันการส่งข้อมูลโดยไม่ตั้งใจหรือการละเมิดนโยบายความปลอดภัยภายในได้
4. รักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ
ธุรกิจในยุคปัจจุบันต้องพึ่งพาการทำงานของระบบเครือข่ายและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำให้ธุรกิจประสบปัญหา เช่น การหยุดทำงานชั่วคราวหรือแม้กระทั่งความเสียหายที่ยากจะกู้คืนได้ Firewall ช่วยป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ปลอดภัย ลดโอกาสที่ระบบจะถูกโจมตีและล่ม ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง
ผลกระทบจากการหยุดชะงักของระบบ
- ความสูญเสียทางการเงิน: เมื่อระบบหยุดทำงาน ธุรกิจจะไม่สามารถดำเนินการหรือให้บริการได้ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียลูกค้าและรายได้
- ความเสียหายต่อชื่อเสียง: หากธุรกิจถูกโจมตีหรือข้อมูลลูกค้ารั่วไหล ชื่อเสียงขององค์กรอาจถูกทำลายอย่างหนัก ซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาว
5. ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ
หลายธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น การเงิน สุขภาพ หรือการศึกษา ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR (General Data Protection Regulation) ในยุโรป หรือ HIPAA (Health Insurance Portability and Accountability Act) ในสหรัฐอเมริกา การติดตั้ง Firewall เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดเหล่านี้ เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าและผู้ใช้งาน
การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอาจส่งผลให้ธุรกิจต้องเผชิญกับบทลงโทษทางกฎหมาย รวมถึงการถูกฟ้องร้อง หรือค่าปรับที่สูง
6. ป้องกันการบุกรุกที่ซับซ้อนและภัยคุกคามใหม่ ๆ
ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีการพัฒนาอยู่เสมอ แฮกเกอร์ใช้เทคนิคและเครื่องมือใหม่ ๆ ในการเจาะระบบ Firewall รุ่นใหม่ (Next-Generation Firewall – NGFW) มีความสามารถที่มากกว่า Firewall รุ่นเก่า ๆ โดยสามารถตรวจสอบการจราจรเครือข่าย (Traffic) ในระดับแอปพลิเคชัน, การป้องกันมัลแวร์, การตรวจจับการบุกรุก (IDS) และการป้องกันการบุกรุก (IPS)
ตัวอย่างภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่ Firewall ต้องรับมือ
- Advanced Persistent Threats (APT): เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเฉพาะเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญจากองค์กร
- Zero-Day Exploit: การโจมตีที่ใช้ช่องโหว่ที่เพิ่งค้นพบและยังไม่มีการอัปเดตแก้ไข Firewall แบบ NGFW สามารถตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติและป้องกันการโจมตีเหล่านี้ได้
7. ลดภาระงานของทีม IT
การใช้ Firewall ที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยลดภาระของทีม IT ในการดูแลรักษาระบบเครือข่ายและป้องกันภัยคุกคาม การติดตั้ง Firewall ที่สามารถตั้งค่าอัตโนมัติหรือมีกระบวนการตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้ทีม IT สามารถมุ่งเน้นไปที่งานสำคัญอื่น ๆ โดยไม่ต้องเฝ้าระวังระบบตลอดเวลา
การมี Firewall ที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานและการบริหารจัดการระบบได้ดีขึ้น ลดโอกาสในการเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงและลดเวลาที่ต้องใช้ในการแก้ไขปัญหา

การดูแลรักษา Firewall
การดูแลรักษา Firewall เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ระบบเครือข่ายยังคงปลอดภัยจากภัยคุกคามและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา Firewall ไม่ใช่อุปกรณ์ที่สามารถติดตั้งแล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูแล ความปลอดภัยของเครือข่ายต้องการการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมกับภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
1. การอัปเดตซอฟต์แวร์และเฟิร์มแวร์อย่างสม่ำเสมอ
การอัปเดต Firewall เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าระบบยังคงป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการค้นพบช่องโหว่ใหม่ ๆ ผู้ผลิตจะออก แพตช์ (Patch) หรือ เฟิร์มแวร์ (Firmware) อัปเดตเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ หากไม่ทำการอัปเดต ระบบอาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ที่ยังไม่ได้แก้ไข
แนวทางปฏิบัติที่ควรทำ
- ติดตั้งการอัปเดตความปลอดภัย (Security Patch) เมื่อมีการแจ้งเตือนจากผู้ผลิต
- ตรวจสอบเว็บไซต์ของผู้ผลิตหรือการแจ้งเตือนจากระบบเพื่อติดตามการอัปเดตใหม่ ๆ
- วางแผนการอัปเดตในช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ช่วงเวลาที่เครือข่ายไม่ค่อยมีผู้ใช้งาน เพื่อลดผลกระทบต่อการทำงานของระบบ
2. การตรวจสอบบันทึก (Logs) อย่างสม่ำเสมอ
Firewall จะสร้าง บันทึกการทำงาน (Logs) ที่บันทึกข้อมูลการเข้าถึงและการทำงานต่าง ๆ ภายในเครือข่าย ข้อมูลจากบันทึกนี้จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติ หรือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสอบบันทึกเป็นระยะช่วยให้คุณสามารถระบุปัญหาและจัดการได้ทันท่วงที
สิ่งที่ควรตรวจสอบในบันทึก
- ความพยายามในการเข้าถึงที่ถูกปิดกั้น: หากมีความพยายามเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างต่อเนื่อง ควรพิจารณาตรวจสอบที่มาของการเข้าถึงเหล่านี้
- พฤติกรรมที่ผิดปกติ: เช่น การเชื่อมต่อจาก IP ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือมีการใช้งานพอร์ตที่ไม่ควรเปิดใช้งาน
- ประสิทธิภาพของระบบ: ตรวจสอบว่าสามารถกรองและจัดการการเข้าถึงได้ตามที่ตั้งค่าไว้หรือไม่
3. การตรวจสอบและปรับปรุงกฎการกรองข้อมูล (Firewall Rules)
กฎการกรองข้อมูลที่ถูกตั้งค่าไว้ในครั้งแรกอาจไม่เพียงพอเมื่อเครือข่ายมีการขยายตัวหรือมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการตรวจสอบและปรับปรุงกฎเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ Firewall ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยป้องกันภัยคุกคามและลดความเสี่ยงได้ดีขึ้น
คำแนะนำในการปรับปรุงกฎ
- ตรวจสอบว่าไม่มีพอร์ตหรือโปรโตคอลที่ไม่จำเป็นเปิดอยู่ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์โจมตีได้
- ปรับปรุงการควบคุมการเข้าถึง (Access Control) ตามบทบาทของผู้ใช้หรือแอปพลิเคชันที่จำเป็นเท่านั้น
- เพิ่มกฎใหม่ตามที่พบเจอภัยคุกคามหรือพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจในการตรวจสอบเครือข่าย
4. การสำรองข้อมูลการตั้งค่า (Configuration Backup)
การสำรองข้อมูลการตั้งค่า Firewall เป็นกระบวนการสำคัญในการบำรุงรักษา หากระบบ Firewall เกิดปัญหาหรือมีการโจมตีจนทำให้การตั้งค่าเสียหาย การมีข้อมูลสำรองจะช่วยให้คุณสามารถกู้คืนการทำงานได้อย่างรวดเร็ว ลดเวลาในการหยุดชะงักและเพิ่มความปลอดภัยให้กับเครือข่าย
แนวทางการสำรองข้อมูล
- ตั้งค่าให้ Firewall ทำการสำรองข้อมูลการตั้งค่าอย่างอัตโนมัติในระยะเวลาที่กำหนด เช่น ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน
- เก็บข้อมูลสำรองไว้ในที่ปลอดภัย โดยอาจเก็บไว้ทั้งในระบบเครือข่ายภายในและภายนอก
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลสำรองเป็นระยะ
5. การทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยเป็นระยะ
หลังจากที่ติดตั้งและใช้งาน Firewall ไปในระยะเวลาหนึ่ง ควรทำการ Penetration Testing (การทดสอบเจาะระบบ) เพื่อจำลองการโจมตีจริง ๆ และตรวจสอบว่า Firewall สามารถป้องกันได้หรือไม่ รวมถึงการทดสอบประสิทธิภาพว่า Firewall สามารถรองรับปริมาณการจราจรในเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของการทดสอบ
- ระบุช่องโหว่ที่อาจยังไม่เคยถูกตรวจพบและสามารถแก้ไขได้ทันที
- ทดสอบความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น Malware, Ransomware หรือการโจมตีแบบ DDoS
- ตรวจสอบว่า Firewall ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายลดลงมากเกินไปเมื่อมีการใช้งานหนัก ๆ
6. การตรวจสอบและจัดการใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificates)
ในกรณีที่ Firewall ของคุณใช้ใบรับรองดิจิทัล (Digital Certificates) เพื่อการเข้ารหัสข้อมูล เช่น การใช้ SSL Inspection เพื่อกรองข้อมูลที่เข้ารหัส ควรตรวจสอบว่าใบรับรองดิจิทัลยังคงใช้งานได้และไม่ได้หมดอายุ หากใบรับรองหมดอายุ การกรองข้อมูลที่เข้ารหัสอาจหยุดทำงาน หรือมีช่องโหว่ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้ารหัสที่ไม่ปลอดภัย
7. การฝึกอบรมและการจัดการผู้ใช้งาน
ความปลอดภัยของ Firewall ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการใช้งานที่ถูกต้องจากผู้ใช้งานในระบบ การให้พนักงานหรือผู้ดูแลระบบมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของ Firewall และวิธีการป้องกันตัวจากภัยคุกคามต่าง ๆ จะช่วยลดโอกาสการเกิดปัญหาภายในเครือข่าย
สิ่งที่ควรฝึกอบรม
- การตั้งค่าและการจัดการ Firewall ให้ถูกต้องสำหรับผู้ดูแลระบบ
- การตรวจสอบพฤติกรรมที่น่าสงสัยภายในเครือข่ายและวิธีการตอบสนอง
- การให้ความรู้แก่ผู้ใช้ทั่วไปในการใช้งานระบบเครือข่ายอย่างปลอดภัย เช่น การระวังอีเมลฟิชชิ่ง
8. การตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่าย (Network Performance Monitoring)
การใช้งาน Firewall อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครือข่ายหากมีการกำหนดกฎการกรองข้อมูลหรือฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติมมากเกินไป การตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่ายเป็นระยะจะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้การทำงานของ Firewall ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครือข่าย
เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบ
- เครื่องมือวิเคราะห์การจราจรเครือข่าย (Network Traffic Analysis Tools) เพื่อดูปริมาณการใช้งานและการจราจรที่ผิดปกติ
- การตรวจสอบความหน่วง (Latency) และความเร็วของการเชื่อมต่อเครือข่าย

ขั้นตอนติดตั้ง Firewall
การติดตั้ง Firewall เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างระบบป้องกันสำหรับเครือข่ายของธุรกิจหรือองค์กร การติดตั้งที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์และลดความเสี่ยงที่เครือข่ายจะถูกโจมตี การทำตามขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถติดตั้งและตั้งค่า Firewall ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. เลือก Firewall ที่เหมาะสมกับธุรกิจ
การเริ่มต้นติดตั้ง Firewall ที่ถูกต้องเริ่มต้นจากการเลือกประเภท Firewall ที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจ เนื่องจากมี Firewall หลายประเภท เช่น Packet-Filtering Firewall, Stateful Inspection Firewall, Next-Generation Firewall (NGFW), Cloud-Based Firewall และ Unified Threat Management (UTM) ควรพิจารณาถึงขนาดของธุรกิจ, ประเภทข้อมูลที่ต้องการปกป้อง และงบประมาณในการลงทุน
ตัวอย่างการเลือก Firewall ที่เหมาะสม
- ธุรกิจขนาดเล็กอาจเลือกใช้ UTM ที่รวมการป้องกันหลายแบบในอุปกรณ์เดียว
- ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีข้อมูลที่ต้องปกป้องในระดับสูง อาจต้องใช้ NGFW เพื่อป้องกันการโจมตีที่ซับซ้อน
2. วางแผนการติดตั้งและกำหนดนโยบาย
หลังจากเลือก Firewall ที่เหมาะสมแล้ว สิ่งสำคัญคือการวางแผนการติดตั้งและกำหนดนโยบายความปลอดภัย (Security Policy) การกำหนดนโยบายความปลอดภัยเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์และแนวทางในการอนุญาตหรือปิดกั้นการเข้าถึงเครือข่าย
สิ่งที่ควรพิจารณาในการวางแผนติดตั้ง
- กำหนดว่าใครสามารถเข้าถึงเครือข่ายและทรัพยากรใดได้บ้าง
- ระบุแอปพลิเคชันและบริการที่จำเป็นต้องให้เข้าถึงจากภายนอก เช่น เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์อีเมล
- ตั้งค่าขั้นตอนการอนุญาตการเข้าถึง โดยควรใช้หลักการ “Least Privilege” ซึ่งหมายถึงการให้สิทธิ์การเข้าถึงในระดับต่ำสุดที่จำเป็น
3. ติดตั้ง Hardware หรือ Software Firewall
การติดตั้ง Firewall อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของ Firewall ที่คุณเลือก
Hardware Firewall
- Hardware Firewall เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อโดยตรงกับเครือข่ายของคุณ และจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่กรองข้อมูลที่เข้ามาหรือออกจากเครือข่าย
- ติดตั้งอุปกรณ์ Firewall ระหว่างเราเตอร์และเครือข่ายภายใน เพื่อกรองข้อมูลทั้งหมดที่ผ่านเข้าและออกจากเครือข่าย
- ตั้งค่า IP Address และข้อมูลการเชื่อมต่อเครือข่ายตามที่ผู้ให้บริการหรือคู่มือแนะนำ
Software Firewall
- Software Firewall มักจะติดตั้งบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายของคุณ
- ติดตั้งซอฟต์แวร์และทำตามขั้นตอนการตั้งค่าที่ผู้ผลิตแนะนำ เช่น การตั้งค่าการอนุญาตเข้าถึงพอร์ตและโปรโตคอลที่ต้องการใช้งาน
4. ตั้งค่าโซนเครือข่าย (Network Zones)
Firewall ส่วนใหญ่รองรับการตั้งค่าโซนเครือข่าย (Network Zones) เพื่อแยกแยะการจราจรเครือข่ายและการเข้าถึงที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การแยกโซนสำหรับผู้ใช้ภายใน (Internal Zone), ผู้ใช้ภายนอก (External Zone), และโซนสำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่เปิดให้บริการภายนอก (DMZ – Demilitarized Zone)
การตั้งค่าโซนช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างไร
- ลดความเสี่ยงในการเข้าถึงทรัพยากรสำคัญภายในเครือข่ายจากผู้ใช้ภายนอก
- อนุญาตให้มีการเข้าถึงเฉพาะบางทรัพยากรหรือบริการ เช่น เว็บไซต์ หรือเซิร์ฟเวอร์เมล โดยไม่เปิดเผยเครือข่ายทั้งหมดให้เข้าถึงได้
5. กำหนดกฎการกรองข้อมูล (Firewall Rules)
หลังจากกำหนดโซนเครือข่ายเสร็จสิ้น สิ่งสำคัญถัดไปคือการกำหนดกฎการกรองข้อมูล (Firewall Rules) ที่จะควบคุมว่าแพ็กเก็ตข้อมูลใดบ้างที่สามารถผ่านเข้าออกได้ในแต่ละโซน
ตัวอย่างกฎการกรองข้อมูล
- อนุญาตให้เฉพาะพอร์ตที่จำเป็น เช่น HTTP (พอร์ต 80) หรือ HTTPS (พอร์ต 443) เข้าถึงเว็บเซิร์ฟเวอร์ใน DMZ
- ปิดกั้นการเชื่อมต่อจาก IP Address ที่ต้องสงสัยหรือไม่ได้รับอนุญาต
- กำหนดให้มีการกรองข้อมูลตามโปรโตคอล เช่น ปิดกั้นการใช้งาน FTP หรือ Telnet ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ไม่ปลอดภัย
6. เปิดใช้ฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติม
Firewall ยุคใหม่มักมาพร้อมกับฟีเจอร์ความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การกรองเว็บไซต์ (Web Filtering), การป้องกันมัลแวร์ (Malware Protection), หรือ ระบบป้องกันการบุกรุก (Intrusion Prevention System – IPS) ฟีเจอร์เหล่านี้สามารถเสริมความปลอดภัยให้เครือข่ายของคุณได้
ฟีเจอร์ที่ควรพิจารณาเปิดใช้งาน
- VPN (Virtual Private Network): สำหรับการเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกลอย่างปลอดภัย
- IDS/IPS (Intrusion Detection/Prevention System): ตรวจจับและป้องกันการบุกรุกที่เกิดขึ้นในเครือข่าย
- Application Control: ตรวจสอบและควบคุมการเข้าถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในเครือข่าย เช่น การอนุญาตหรือปิดกั้นแอปพลิเคชันที่อาจเป็นภัยคุกคาม
7. ทดสอบการติดตั้งและการทำงานของ Firewall
หลังจากตั้งค่าเสร็จสิ้น ควรทดสอบว่า Firewall ทำงานได้อย่างถูกต้องและสามารถป้องกันภัยคุกคามได้ตามที่คาดหวัง การทดสอบ Firewall สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- การตรวจสอบว่ากฎการกรองข้อมูลทำงานอย่างถูกต้องโดยการทดสอบการเข้าถึงทรัพยากรจากภายนอกและภายใน
- การทดสอบด้วยเครื่องมือ Penetration Testing เพื่อจำลองการโจมตีและตรวจสอบว่า Firewall สามารถป้องกันได้หรือไม่
- การตรวจสอบบันทึก (Logs) เพื่อดูข้อมูลการเข้าถึงและการปิดกั้นต่าง ๆ
8. การบำรุงรักษาและการอัปเดต
การบำรุงรักษา Firewall เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ามันยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ควรตรวจสอบและอัปเดตซอฟต์แวร์หรือเฟิร์มแวร์ของ Firewall อย่างสม่ำเสมอ
ขั้นตอนการบำรุงรักษาที่สำคัญ
- อัปเดตแพตช์ความปลอดภัยเมื่อมีการแจ้งเตือน
- ตรวจสอบบันทึกการใช้งาน (Logs) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุปัญหาหรือการพยายามโจมตี
- ทบทวนและปรับปรุงกฎการกรองข้อมูลเมื่อเครือข่ายมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การเพิ่มอุปกรณ์หรือบริการใหม่